สาเหตุของการ Burnout นั้น ทาง Havard Business Review (HBR) พบว่า สาเหตุหลักๆ เกิดจาก
1. งานหนักเกินกว่าตัวเองรับไหว
2. รู้สึกว่าตัวเองไร้อำนาจในการควบคุมสถานการณ์ต่างๆ
3. รู้สึกว่าไม่มีคนยอมรับงานของตัวเอง
4. รู้สึกว่า บรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานแย่เหลือเกิน
5. รู้สึกว่าหัวหน้าไม่แฟร์
6. รู้สึกว่าตัวเองมีค่านิยมส่วนตัว (personal values) ต่างจากหัวหน้ามากไป
สรุปคือ เราจะ burnout เมื่อมี "ทัศนคติ" หรือ ความคิดและความรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในที่ทำงาน จนทำให้ไม่อยากทำงานและหดหู่แบบเรื้อรัง
และข้อสังเกตคือ ทั้ง 6 ข้อ เกิดจากความคิดและความรู้สึกของตนเอง จึงอาจจะมีทั้งความจริงและไม่จริงปนกันไป
ดังนั้น การหมั่นสังเกตตัวเอง เริ่มรู้ตัวให้เร็ว และตั้งสติ ปรับความคิดแต่เนิ่นๆ ก่อน จึงเป็นอีกทางที่ช่วยได้ ก่อนจะหาวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านั้น
เพราะ ถ้ารอให้คนอื่นมาช่วยจัดการแก้ไขให้ความรู้สึกนี้หมดไป คงเกิดภาวะ burnout หรือ ใจมอดไหม้ ไปแล้วและยากที่จะแก้ไขได้
สาเหตุที่ Work-Life Balance ของคนทำงานจะเปลี่ยนไปจากเดิมนั้น เพราะวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ กำลังคืบคลานเข้ามา และแน่นอนว่าจะสร้างผลกระทบกับชีวิตการทำงานแต่ละคนไม่มากก็น้อย แล้วพนักงานต้องทำอย่างไร? ต้องโหมทำงานจนละเลยชีวิตตัวเองหรือไม่? มาดู 4 แนวทางที่จะช่วยสร้างให้สมดุลชีวิตและงานยังคงอยู่กัน
เมื่อใดประเทศประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ มักจะกระทบต่อองค์กรด้วย ทำให้ผลประกอบการตกลง ซึ่งเมื่อต้องอธิบายว่าทำไมผลประกอบการต่ำลง ก็จะได้รับคำตอบเหมือนเดิมทุกครั้งคือ “ เศรษฐกิจไม่ดี” แต่สังเกตหรือไม่ว่า ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจแย่ แต่ก็มีบางบริษัทที่ผลประกอบการ ไม่ได้แย่ตามไปด้วย เพราะความจริงแล้วภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่กระทบผลประกอบการ แต่มันมีปัจจัยอื่นๆภายในองค์กรด้วย และปัจจัยเหล่านี้มักจะถูกมองข้ามไป นั่นคือ
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในวันนี้ หัวหน้างานที่ยังคงต้องทำบทบาทในการปรับทีมงานให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงเสมอ เพื่อให้เกิดบรรยากาศแบบ High Performance Environment หรือ ทีมงานมีไฟมีพลังสู้รบกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่ง 5 วิธีที่หัวหน้าสามารถเริ่มทำได้ทันที ได้แก่
คุณมักได้ยินคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับการเป็นผู้นำที่ดี เช่น ต้องรับฟังให้เยอะพูดให้น้อย ต้องเข้าอกเข้าใจ ต้องพัฒนาเรียนรู้ตลอดเวลา ต้องมีเหตุผล ต้องแสดงความรับผิดชอบและทำให้งานสำเร็จ สิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นการกระทำที่ดีทั้งนั้น แต่รู้ไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณทำสิ่งข้างต้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป
ถ้าพูดว่าการทำงานหลักๆของผู้บริหาร หรือหัวหน้า คือการสื่อสาร ภาพในหัวของหลายคนก็จะมีภาพว่าหัวหน้าต้อง present ได้เก่ง โน้มน้าวหรือ พูดได้รู้เรื่อง ซึ่งก็นับว่า จริง แต่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะผู้บริหารมีหน้าที่ต้องบริหารคนให้ทำงานให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ ดังนั้นการสื่อสารของหัวหน้าจึงมีหลากหลายมิติ โดยถ้าแยกแบบคร่าวๆ ก็จะมีอยู่ 3 มิติ ดังนี้
จากที่เคยพูดถึงว่าทักษะสำคัญของหัวหน้าคือการสื่อสาร ซึ่งมีหลากหลายวัตถุประสงค์ ในโพสนี้ ขออธิบายการสื่อสารที่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงาน คือ”การสั่งงาน” ซึ่งดูแล้วเหมือนกับเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆก็น่าจะสั่งงานได้ แต่หัวใจสำคัญคือ