มารู้จัก A.I. แบบเข้าใจง่าย ใน 1 หน้ากระดาษ

วันที่: 05 ก.ค. 2566 13:27:01     แก้ไข: 19 ก.ย. 2567 15:31:49     เปิดอ่าน: 3,305     Blogs
AI (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เป็นองค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงสมัยสมัยใหม่ ด้วยความสามารถในการจำลองและสร้างความคิดเห็นเชิงปัญญาที่มีความเป็นมนุษย์ได้ การพัฒนา AI ได้เกิดแนวคิดและเทคนิคหลายแบบเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและจำลองกระบวนการคิดของมนุษย์ได้ ดังนั้นเราสามารถแบ่งประเภทของ AI ได้เป็นระดับต่อไปนี้:
  • การประมวลผลที่สมบูรณ์ (Strong AI) - หรือบางครั้งเรียกว่า AGI (Artificial General Intelligence) เป็นระบบ AI ที่มีความสามารถที่ใกล้เคียงกับปัญญามนุษย์ สามารถทำงานในทุกมิติของความรู้และการคิดเชิงสร้างสรรค์ได้ โดยรวมถึงการเรียนรู้และปรับตัวเองได้ตลอดเวลา สตรีมนี้เป็นวิสัยทัศน์หลักของ AI ที่ท้าทายและยากที่จะบรรลุถึงในปัจจุบัน
  • การประมวลผลที่จำกัด (Narrow AI) - หรือเรียกอีกชื่อว่า ANI (Artificial Narrow Intelligence) เป็นระบบ AI ที่มีความสามารถในการทำงานในพื้นที่หนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่นระบบค้นหาและตอบคำถามอัตโนมัติบนเว็บไซต์ หรือระบบรถยนต์
ในปัจจุบัน, เราสามารถแบ่งประเภทของ AI ได้เป็นหมวดหมู่ต่อไปนี้:
  1. Machine Learning (ML) - เป็นกลุ่มของเทคนิคและวิธีการที่อนุญาตให้ระบบ AI เรียนรู้และปรับปรุงด้วยตนเองจากข้อมูลที่ได้รับ โดยไม่ต้องมีการโปรแกรมโดยตรง การเรียนรู้ของเครื่องจักรอาจเป็นทางการ (supervised) หรือไม่มีการตรวจสอบ (unsupervised) และอาจใช้หลายวิธี เช่น การเรียนรู้แบบตัวแบบ (model-based learning) หรือการเรียนรู้แบบจำลอง (reinforcement learning)
  2. Deep Learning (DL) - เป็นการประมวลผล AI โดยใช้ระบบโครงข่ายประสาทเทียม (artificial neural networks) ซึ่งประกอบด้วยชั้นของโน้ต (neurons) มากมายที่มีความซับซ้อน โดย DL สามารถเรียนรู้และตรวจจับลักษณะที่ซับซ้อนในข้อมูลได้ เช่น การจดจำภาพ การแปลภาษา และการประมวลผลเสียง
  3. Natural Language Processing (NLP) - เป็นการพัฒนา AI ที่สามารถเข้าใจและประมวลผลภาษามนุษย์ได้ โดยรวมถึงการแปลภาษา การสร้างคำถามและคำตอบ การจดจำและสร้างข้อความ และการวิเคราะห์อารมณ์ในข้อความ
  4. Computer Vision - เป็นส่วนของ AI ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลภาพและวิดีโอ โดยสามารถรู้จำและเข้าใจภาพ ตรวจจับวัตถุ การแยกแยะใบหน้า​


AI ส่งผลกระทบต่อการทำงานของมนุษย์อย่างมากทั้งในด้านบวกและด้านลบ

ด้านบวกอาจรวมถึง:

  • การอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพ: AI สามารถช่วยในการอัตโนมัติงานที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน ทำให้มนุษย์สามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้นและลดความผิดพลาด
  • การประหยัดเวลาและทรัพยากร: การใช้งาน AI ช่วยลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในการทำงาน โดยสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องมีการพักผ่อนหรือการต้องการทรัพยากรเพิ่มเติม
  • การวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่มีปริมาณมากและซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้เกิดความเข้าใจและข้อสรุปที่มีประสิทธิภาพ

แต่ผลกระทบที่เป็นไปได้จาก AI ในการทำงานด้านลบมีดังนี้:

  • สูญเสียงาน: การใช้งาน AI อาจทำให้งานบางอย่างไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์เข้ามาทำ ซึ่งอาจส่งผลให้มีการลดงานและขาดความต้องการในงานบางประเภท
  • ข้อผิดพลาดและความไม่แม่นยำ: AI อาจมีความไม่แม่นยำหรือผิดพลาดในการประมวลผล ซึ่งอาจส่งผลให้มีความเสี่ยงในการตัดสินใจหรือการทำงานบางประเภท
  • การขาดความเข้าใจและมนุษยสัมพันธ์: AI ยังขาดความสามารถในการเข้าใจและตอบสนองต่อความรู้สึกและประสบการณ์มนุษย์ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้หรือลูกค้ารู้สึกไม่พอใจหรือขาดความสัมพันธ์

เพื่อปรับตัวและอยู่ร่วมกับ AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พนักงานควรพิจารณาดังนี้:

  • เพิ่มทักษะที่เกี่ยวข้อง: พนักงานควรพัฒนาทักษะและความรู้ที่เกี่ยวข้องกับ AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น การเข้าใจและการใช้งานเครื่องมือ AI ที่ใช้ในงานของตน
  • เรียนรู้และการพัฒนาตลอดเวลา: การเรียนรู้และการพัฒนาตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อปรับเปลี่ยนและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน AI
  • การร่วมงานกับ AI: พนักงานควรเรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกับ AI โดยให้ความร่วมมือและความสามารถของทั้งมนุษย์และ AI ถูกนำมาใช้งานร่วมกันเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • พัฒนาทักษะที่ AI ยังไม่สามารถทำได้: การสร้างความมั่นใจในพื้นที่ที่ AI ยังไม่สามารถทำงานได้ดีเท่ามนุษย์ พนักงานควรพัฒนาทักษะที่เน้นความสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการสร้างความรู้สึกในสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้ดีกว่า AI
สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ​ บทความนี้ทั้งหมดที่โพสมาข้างต้นคือ บทความที่ผมให้AIเขียนให้ครับ​

มีแค่​เนื้อหา​ในภาพ​ infographic ​เท่านั้น​ ที่ผมทำเอง​ ซึ่งหากจะให้ AI เค้าคิดภาพให้ก็ทำได้​ แถมเวลาน้อยกว่าเยอะมากๆ​

นี่แหละครับ​จึงเป็นเหตุผลว่า องค์กรและคนทำงาน เราต้องเตรียมตัวปรับทักษะเรื่องนี้เพื่อใช้ในการทำงานโดยด่วน อย่างที่คุณ AI เค้าแนะนำข้างต้น แล้วล่ะครับ​ จริงไหม​?

บทความและภาพกราฟฟิค โดย AI CHATGPT และ

Aniruth Tulsuk (อนิรุทธิ์ ตุลสุข)
Sr. Consultant & Facilitator-CFG 
 
M.A. Industial and Organizaional Psychology, Thammasat University
Former Learning & Development Manager, FMCG/Property
Interesting Areas:
Startup Business, Leadership Development, Behavioral Change,Trait & Personality, Visual Thinking
 
อ้างอิง : www.trainrail.co

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

4 วิธีสร้าง Work-Life Balance  แถมยังได้งานในช่วงวิกฤต สาเหตุที่ Work-Life Balance ของคนทำงานจะเปลี่ยนไปจากเดิมนั้น เพราะวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ กำลังคืบคลานเข้ามา และแน่นอนว่าจะสร้างผลกระทบกับชีวิตการทำงานแต่ละคนไม่มากก็น้อย แล้วพนักงานต้องทำอย่างไร? ต้องโหมทำงานจนละเลยชีวิตตัวเองหรือไม่? มาดู 4 แนวทางที่จะช่วยสร้างให้สมดุลชีวิตและงานยังคงอยู่กัน
4 วิธีสร้าง Work-Life Balance แถมยังได้งานในช่วงวิกฤต

สาเหตุที่ Work-Life Balance ของคนทำงานจะเปลี่ยนไปจากเดิมนั้น เพราะวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ กำลังคืบคลานเข้ามา และแน่นอนว่าจะสร้างผลกระทบกับชีวิตการทำงานแต่ละคนไม่มากก็น้อย แล้วพนักงานต้องทำอย่างไร? ต้องโหมทำงานจนละเลยชีวิตตัวเองหรือไม่? มาดู 4 แนวทางที่จะช่วยสร้างให้สมดุลชีวิตและงานยังคงอยู่กัน

7 ปัจจัย ฉุดผลประกอบการ ที่ผู้บริหารคาดไม่ถึง  เมื่อใดประเทศประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ มักจะกระทบต่อองค์กรด้วย ทำให้ผลประกอบการตกลง ซึ่งเมื่อต้องอธิบายว่าทำไมผลประกอบการต่ำลง ก็จะได้รับคำตอบเหมือนเดิมทุกครั้งคือ “ เศรษฐกิจไม่ดี” แต่สังเกตหรือไม่ว่า ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจแย่ แต่ก็มีบางบริษัทที่ผลประกอบการ ไม่ได้แย่ตามไปด้วย เพราะความจริงแล้วภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่กระทบผลประกอบการ แต่มันมีปัจจัยอื่นๆภายในองค์กรด้วย และปัจจัยเหล่านี้มักจะถูกมองข้ามไป นั่นคือ
7 ปัจจัย ฉุดผลประกอบการ ที่ผู้บริหารคาดไม่ถึง

เมื่อใดประเทศประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ มักจะกระทบต่อองค์กรด้วย ทำให้ผลประกอบการตกลง ซึ่งเมื่อต้องอธิบายว่าทำไมผลประกอบการต่ำลง ก็จะได้รับคำตอบเหมือนเดิมทุกครั้งคือ “ เศรษฐกิจไม่ดี” แต่สังเกตหรือไม่ว่า ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจแย่ แต่ก็มีบางบริษัทที่ผลประกอบการ ไม่ได้แย่ตามไปด้วย เพราะความจริงแล้วภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่กระทบผลประกอบการ แต่มันมีปัจจัยอื่นๆภายในองค์กรด้วย และปัจจัยเหล่านี้มักจะถูกมองข้ามไป นั่นคือ

5 กลยุทธ์ผู้นำที่ทำให้เกิด High Performance Environment การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในวันนี้ หัวหน้างานที่ยังคงต้องทำบทบาทในการปรับทีมงานให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงเสมอ เพื่อให้เกิดบรรยากาศแบบ High Performance Environment หรือ ทีมงานมีไฟมีพลังสู้รบกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่ง 5 วิธีที่หัวหน้าสามารถเริ่มทำได้ทันที ได้แก่
5 กลยุทธ์ผู้นำที่ทำให้เกิด High Performance Environment

การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในวันนี้ หัวหน้างานที่ยังคงต้องทำบทบาทในการปรับทีมงานให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงเสมอ เพื่อให้เกิดบรรยากาศแบบ High Performance Environment หรือ ทีมงานมีไฟมีพลังสู้รบกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่ง 5 วิธีที่หัวหน้าสามารถเริ่มทำได้ทันที ได้แก่

ทำไม? เมื่อผู้นำตั้งใจทำดีมากไป ผลที่ได้กลับกลายเป็นร้ายในทันที คุณมักได้ยินคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับการเป็นผู้นำที่ดี เช่น ต้องรับฟังให้เยอะพูดให้น้อย ต้องเข้าอกเข้าใจ ต้องพัฒนาเรียนรู้ตลอดเวลา ต้องมีเหตุผล ต้องแสดงความรับผิดชอบและทำให้งานสำเร็จ สิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นการกระทำที่ดีทั้งนั้น แต่รู้ไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณทำสิ่งข้างต้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป
ทำไม? เมื่อผู้นำตั้งใจทำดีมากไป ผลที่ได้กลับกลายเป็นร้ายในทันที New

คุณมักได้ยินคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับการเป็นผู้นำที่ดี เช่น ต้องรับฟังให้เยอะพูดให้น้อย ต้องเข้าอกเข้าใจ ต้องพัฒนาเรียนรู้ตลอดเวลา ต้องมีเหตุผล ต้องแสดงความรับผิดชอบและทำให้งานสำเร็จ สิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นการกระทำที่ดีทั้งนั้น แต่รู้ไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณทำสิ่งข้างต้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป

การสื่อสาร 3 มิติ ที่หัวหน้าต้องรู้ เพื่อให้งานได้ผลลัพธ์ ถ้าพูดว่าการทำงานหลักๆของผู้บริหาร หรือหัวหน้า คือการสื่อสาร ภาพในหัวของหลายคนก็จะมีภาพว่าหัวหน้าต้อง present ได้เก่ง โน้มน้าวหรือ พูดได้รู้เรื่อง ซึ่งก็นับว่า จริง แต่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะผู้บริหารมีหน้าที่ต้องบริหารคนให้ทำงานให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ ดังนั้นการสื่อสารของหัวหน้าจึงมีหลากหลายมิติ โดยถ้าแยกแบบคร่าวๆ ก็จะมีอยู่ 3 มิติ ดังนี้
การสื่อสาร 3 มิติ ที่หัวหน้าต้องรู้ เพื่อให้งานได้ผลลัพธ์ New

ถ้าพูดว่าการทำงานหลักๆของผู้บริหาร หรือหัวหน้า คือการสื่อสาร ภาพในหัวของหลายคนก็จะมีภาพว่าหัวหน้าต้อง present ได้เก่ง โน้มน้าวหรือ พูดได้รู้เรื่อง ซึ่งก็นับว่า จริง แต่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะผู้บริหารมีหน้าที่ต้องบริหารคนให้ทำงานให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ ดังนั้นการสื่อสารของหัวหน้าจึงมีหลากหลายมิติ โดยถ้าแยกแบบคร่าวๆ ก็จะมีอยู่ 3 มิติ ดังนี้

2 หัวใจสำคัญ การสื่อสาร ที่เป็นงานสำคัญของหัวหน้า จากที่เคยพูดถึงว่าทักษะสำคัญของหัวหน้าคือการสื่อสาร ซึ่งมีหลากหลายวัตถุประสงค์ ในโพสนี้ ขออธิบายการสื่อสารที่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงาน คือ”การสั่งงาน” ซึ่งดูแล้วเหมือนกับเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆก็น่าจะสั่งงานได้ แต่หัวใจสำคัญคือ
2 หัวใจสำคัญ การสื่อสาร ที่เป็นงานสำคัญของหัวหน้า New

จากที่เคยพูดถึงว่าทักษะสำคัญของหัวหน้าคือการสื่อสาร ซึ่งมีหลากหลายวัตถุประสงค์ ในโพสนี้ ขออธิบายการสื่อสารที่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงาน คือ”การสั่งงาน” ซึ่งดูแล้วเหมือนกับเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆก็น่าจะสั่งงานได้ แต่หัวใจสำคัญคือ