ในระยะหลังนี้ เราจะพบว่า ประเด็นเกี่ยวกับ การรักษาสมดุลชีวิตการทำงาน (Work-Life Balance) ถูกพูดถึงอย่างบ่อยครั้ง โดยเฉพาะยามนี้ ที่ภาวะเศรษฐกิจของบ้านเราที่มีทรงคล้ายจะวิกฤตขึ้นทุกที จนบริษัท ห้างร้าน โรงงานหลายแห่ง ทะยอยปิดตัวลงไปมากแล้ว และแนวโน้มจะเพิ่มอีกมากด้วย เพราะจากข่าวล่าสุด ในภาคเอกชนนั้น ผู้ประกอบการไทยเองก็เริ่มแสดงความกังวลผลกระทบจากการขยายตัวของธุรกิจต่างชาติที่แห่แหนมาปักธงทำธุรกิจในบ้านเรา ทั้งในแบบ Online และ Offline กันแล้ว
แม้ว่าหลายบริษัทตกอยู่ในความเสี่ยงช่วงวิกฤตนี้ แต่หากผู้บริหารออกมากระตุ้นการทำงานทีไร จะเห็นว่าเกิดดราม่าตลอด ระหว่างกองเชียร์สองฝั่ง นั่นคือ Work-Life Balance ที่คอขาดบาดตายอย่างไร ก็ไม่อยากให้บริษัท (โดยเฉพาะหัวหน้า) มาล่วงล้ำเวลาส่วนตัว และ ฝั่ง Work ไร้ Balance ที่บอกว่าวิกฤตแบบนี้ถ้ายังเป็นสายชิลต่อไป คงไม่แคล้ว ได้ไปนั่งสบายที่บ้านยาวๆ แน่
โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็หาเหตุผลมาสนับสนุนแนวทางการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วนี้จนเป็นดราม่าในหน้าสื่อโซเชี่ยลกันตลอด
แต่จะไม่มีดราม่า ถ้าเข้าใจ Work-Life Balance ใน 3 ประเด็นนี้ คือ
1. เข้าใจความหมายของ Work-Life Balance ให้ตรงกัน
ผมเจอบ่อยมากๆ กับการที่คนมองว่า Work Life Balance คือ การทำงานชิลๆ เข้างาน-เลิกงานตามเวลา ห้าโมงกลับบ้าน จนบางคนไปตีความว่า สมดุล คือ ต้องแบ่งเวลาเท่าๆ กันก็มี
แนวทางที่เหมาะสม ความหมายของสมดุลของชีวิตและงานนั้น อาจไม่ใช่จำนวนเวลาที่ต้องเท่ากัน แต่มันเป็นการรักษาสมดุลระหว่างพลังงานที่เราใช้ในการทำงาน และการฟื้นฟูมันให้กลับมาทำงานได้มากกว่า เช่น เมื่อใดที่ต้องทำงานหนัก เราก็ต้องหากิจกรรมเพื่อให้เรายังรักษาสุขภาพทั้งกาย-ใจ และกลับไปทำงานได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง
เพราะหากเสียสมดุล ย่อมนำไปสู่การ Burnout ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้บรรจุ ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ burnout ลงในบัญชีโรค และอาการผิดปกติต่างๆ ในคู่มือวินิจฉัยและจัดประเภทของโรคระหว่างประเทศ (ICD) ฉบับปรับปรุง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมชาติของร่างกายมนุษย์นะครับ เราอาจจะบอกตัวเองได้ว่า ยังไหว แต่ร่างกายคน มันซื่อตรงเสมอและหลายคนทำงานหนักจนน็อคคาโต๊ะก็มีไม่น้อย
2. เข้าใจว่าขีดจำกัดของ Work Life Balance ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
นึกง่ายๆ ว่าความสามารถในการจัดการ และ ความอดทนของคนเราไม่เท่ากัน นั่นแหละครับ
บางคนที่ทำงานได้หนัก เขาก็อาจรักษาสมดุลระหว่างงานและชีวิตตัวเองได้ เขาอาจมีทักษะในการแก้ปัญหาในงานมากพอ จนไม่รู้สึกว่าเป็นการบั่นทอนพลังงานของตัวเอง หรือ อาจมีความอดทนสูง เพราะเคยมีประสบการณส่วนตัวมาแล้วว่า ถ้าไม่ทำผลกระทบในระยะยาว อาจร้ายแรงและกระทบต่อชีวิตได้ในท้ายที่สุด
จึงเกิดประเด็นอีกว่า ทำไมฉันทำได้ แล้วเธอทำไม่ได้ล่ะ
แนวทางที่เหมาะสม คนมีความแตกต่างหลากหลายครับ ทั้งเพศ อายุ ประสบการณ์ ทักษะ แรงจูงใจ ฯลฯ หากเรารู้ตัวว่า มีขีดจำกัดของ Work-Life Balance น้อย ในยามวิกฤตนี้ ก็อาจต้องเพิ่มความสามารถในการจัดการงาน มีกลยุทธ์ในการทำงาน และจัดลำดับความสำคัญของงานได้เหมาะสม หรือ ลองมองดูว่า กิจกรรมใดที่ฟื้นฟูพลังงานเราได้มากและเร็วที่สุด เช่น การออกกำลังกาย งานศิลปะ หรือ งานอดิเรกที่ชอบ ฯลฯ
3. เข้าใจว่าคนมักมองจากมุมที่แตกต่างกัน (Personal Perspective) ซี่งมักเกิดได้ 2 กรณี คือ
1) บทบาทที่แตกต่างกัน (Role)
เอาตรงๆ หลักๆ เลย ก็คือ นายจ้าง (หรือ หัวหน้าที่เป็นตัวแทนของนายจ้าง) และ ลูกจ้างมองกันคนและแบบ นั่นแหละครับ
นายจ้างมีเป้าหมายทางธุรกิจ (Business Goal) คือ ต้องการผลประกอบการ ต้องการให้ธุรกิจเขารอด ไม่ว่าจะบอกว่าเป็นห่วงน้องๆ จะตกงาน หรือ ต้องการรักษาลูกน้อง แต่ปลายทางก็คือ ต้องรักษาบริษัทให้อยู่ได้ และรอดพ้นวิกฤตนั่นแหละ ส่วนลูกน้องบางคนก็มีเป้าหมายในชีวิตส่วนตัวด้วย (Personal Goal) คือ เมื่อทำงานหาเลี้ยงชีพ และทำงานตามที่ตกลงแล้ว ก็ต้องมีสิทธ์ในการใช้ชีวิตส่วนตัวของเขาบ้าง (ไม่งั้นจะหาเงินมาทำไมละครับ)
2) ค่านิยมส่วนตัวที่แตกต่างกัน (Personal Values)
จากความเห็นส่วนตัว ผมว่าทำให้เกิดดราม่าเยอะที่สุด นั่นคือ ค่านิยมส่วนตัวที่แตกต่างกัน เพราะ ค่านิยมส่วนตัว คือ การที่คนแต่ละคนให้คุณค่าต่องสิ่งต่างๆ ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีและควรทำ
บางคนมีค่านิยมเป้าหมาย (Terminal Values) เช่น ความสำเร็จ การงานก้าวหน้า ก็ชอบที่จะทำงานเยอะๆ แต่บางคนอายึดถือว่า ครอบครัว สุขภาพ ฯลฯ เป็นหลัก ก็ย่อมรู้สึกว่า ต้องเมีเวลาเพื่อตอบสนองค่านิยมนั้น
ค่านิยมอีกระดับ คือ ค่านิยมวิธีการ (Instrumental Vaules) คือ ความเชื่อว่า หากทำตามนั้นแล้วบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เช่น เชื่อว่ากาารทำงานให้สำเร็จ ต้อง ทำงานเยอะๆ (Work hard & Productive) แต่บางคนเชื่อว่า การทำงานสำเร็จ ต้องทำน้อยแต่ได้มาก (Work Smart & Strategic)
พอทุกคนเชื่อว่าค่านิยมตัวเองถูกต้อง และใช้มันดำเนินชีวิต โดยเฉพาะยิ่งคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ไม่มีทางเชื่ออีกฝ่ายหรอกครับ มีแต่จะเถียงกันคอแตกละครับ ว่าอะไรถูกอะไรผิด เหมือนคนชอบทุเรียนกับคนไม่ชอบทุเรียน เถียงกันว่าทุเรียนอร่อยไหมนั่นแแหละครับ
แนวทางที่เหมาะสม ทั้งสองฝ่ายต้องเริ่มจากความเข้าอกเข้าใจกัน (Empathy) เคารพ (Respect) มุมมองจากบทบาท ความคิด ความเชื่อของแต่ละฝ่าย แล้วเน้นที่เป้าหมายที่แต่ละฝ่ายต้องการร่วมกัน ผ่านการตั้งคำถามเพื่อหาทางออก แทนการระบุวิธีการ เช่น ในภาวะวิกฤตแบบนี้ แต่ละฝ่ายมีวิธีการอย่างไร ที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดได้ แล้วลองปรับจูนเป้าหมายและวิธีการขของทั้งสองฝ่าย
แล้วเราจะได้แนวทางที่ Win-Win ทั้งคู่ ทางออกอาจเป็นใช้เวลาในการทำงาน ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด (Work Smart) แทนการทำงานให้มากให้หนัก (Work hard) แต่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือ จะเป็นการมีกลยุทธ์ในการทำงาน และการเพิ่มทักษะความสามารถในการทำงาน เป็นต้นครับ
บทสรุป
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจนี้ ผมยังเชื่อเสมอว่า Work-Life Balance เป็นสิ่งที่เหมาะสม เพราะคนที่มีกำลังใจดี มีความสดชื่น และสุขภาพดี ย่อมมีหัวสมองที่แล่นฉิว มีความคิดฉับไว ซึ่งจะทำให้ทำงานและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่คนทำงานอย่างพวกเราต้องทำใจไว้อย่างหนึ่งว่า Work-Life Balance แบบเดิมๆ ของเรา อาจถูกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในตัวงานได้เช่นกันครับ
แน่นอนว่า วิกฤตอาจทำให้งานของเรา มันหนักขึ้น เหนื่อยขึ้น จนตารางชีวิตแต่ละคนเปลี่ยนไป แต่เราก็ยังสามารถปรับตัวและพัฒนา ขีดจำกัดของ Work-Life Balance เพื่อให้เรายังคงมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการทำงานที่บรรลุเป้าหมายได้ ซึ่งผมขอฝากแนวทางเพื่อให้ทุกท่าน Survive ได้ โดย Work-Life Balance ยังคงอยู่ ดังนี้ครับ